อิมเพรสชันนิสม์ ของ แมรี เคแซต

"ชา" โดยแมรี เคแซต ค.ศ. 1880 พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์, บอสตัน

ภายในสองสามเดือนหลังจากที่กลับไปยุโรปในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1871 แล้วอนาคตของเคแซตก็ดูจะดีขึ้น ภาพเขียน "สตรีสองคนโยนดอกไม้ในคาร์นิวาล" ได้รับการต้อนรับดีในการแสดงในนิทรรศการที่ซาลอนในปี ค.ศ. 1872 และมีผู้ซื้อ งานของเคแซตเป็นที่รู้จักกันในพาร์มาและได้รับการสนับสนุนจากวงศิลปินที่นั่น: "ผู้คนในพาร์มาพูดถึงกันแต่มิสเคแซตและภาพเขียนของเธอ และทุก ๆ คนต่างก็ต้องการทำความรู้จักกับเธอ"[18]

หลังจากเขียนงานที่ได้รับจ้างจากอัครบาทหลวงแล้ว เคแซตก็เดินทางไปมาดริดและเซบิยา ไปเขียนภาพเขียนเกี่ยวกับสเปนที่รวมทั้งภาพ "นักเต้นรำโพกผ้าลูกไม้" (Spanish Dancer Wearing a Lace Mantilla) ในปี ค.ศ. 1873 ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะอเมริกันแห่งชาติของสถาบันสมิธโซเนียน ในปี ค.ศ. 1874 เคแซตก็ตัดสินใจตั้งถิ่นฐานในฝรั่งเศส และต่อมาน้องสาวก็ตามมา สองคนพักอยู่ในอพาร์ตเม้นท์เดียวกัน

เคแซตยังคงบ่นเรื่องการเมืองของการยอมรับภาพเข้าแสดงในนิทรรศการการแสดงภาพของซาลอน และรสนิยมที่ยังเป็นอนุรักษนิยมของสถาบัน เคแซตออกความเห็นอย่างเปิดเผยตามรายงานของซาร์แทง และมีความเห็นว่างานเขียนของศิลปินสตรีมักจะถูกละเลยนอกจากศิลปินจะรู้จักคนในวงการหรือมีผู้พิทักษ์ในคณะกรรมการ[19] ความผิดหวังก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่องานเขียนสองชิ้นที่เขียนในปี ค.ศ. 1875 ถูกปฏิเสธโดยคณะกรรมการแต่มาได้รับการยอมรับในปีต่อมา หลังจากที่เคแซตเพียงทำให้ฉากหลังเข้มขึ้นเท่านั้น เคแซตมีปากมีเสียงกับซาร์แทงผู้มีความเห็นว่าเคแซตออกจะเห็นแก่ตัวและมีความเห็นอย่างออกนอกหน้าจนเกินไป ในที่สุดทั้งสองก็แยกกัน หลังจากนั้นเคแซตก็ตัดสินใจเปลี่ยนจากการเขียนภาพชีวิตประจำวันไปเป็นการเขียนหัวเรื่องที่เป็นที่นิยมกันเพื่อให้ได้งานจ้างในการเขียนภาพเหมือนเพิ่มขึ้นจากชาวอเมริกันชาวสังคม แต่ก็ไม่มีผลเท่าใดนักในระยะแรก[20]

ในปี ค.ศ. 1877 งานทั้งสองชิ้นได้รับการปฏิเสธจากสถาบันซึ่งทำให้เป็นครั้งแรกในเจ็ดปีที่เคแซตไม่มีงานแสดงในนิทรรศการ[21] ในช่วงเวลาที่ต่ำที่สุดในงานอาชีพของเคแซต ๆ ก็ได้รับคำเชิญจากแอดการ์ เดอกาให้มาแสดงภาพเขียนร่วมกับจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์ซึ่งเป็นกลุ่มจิตรกรที่มีงานแสดงศิลปะของตนเองที่เริ่มในปี ค.ศ. 1874 อย่างเป็นที่เล่าลือ กลุ่มจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์ (หรือที่เรียกว่า "กลุ่มอิสระ" หรือ "กลุ่มต่อต้าน") ที่เป็นกลุ่มศิลปินที่ไม่มีหลักการอย่างเป็นทางการและหัวเรื่องและวิธีการการสร้างศิลปะของสมาชิกในกลุ่มก็แตกต่างจากกันเป็นอันมาก แต่สิ่งที่คล้ายคลึงกันคือความนิยมการวาดภาพนอกสถานที่ซึ่งต่างกับช่างเขียนยุคก่อนหน้านั้นที่มักจะเขียนภาพภายในห้องเขียนภาพ และการใช้สีที่สดใสมีชีวิตชีวา (vibrant color) ในฝีแปรงโดยตรงบนผ้าใบโดยไม่มีการผสมบนจานสีก่อน ซึ่งเป็นการใช้ตาผู้ดูผสมเอาด้วยตนเองในลักษณะของ "อิมเพรสชันนิสม์" -- ลักษณะที่เกิดจากความประทับใจของผู้ดูเอง

"ภาพเหมือนของมิสเคแซตนั่งถือไพ่" โดยเดอกา ราว ค.ศ. 1876-1878, สีน้ำมันบนผ้าใบ

จิตรกรอิมเพรสชันนิสต์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงโดยนักวิจารณ์ศิลปะอยู่หลายปี เฮนรี เบคอนเพื่อนของเคแซตมีความเห็นว่าจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์มีหัวรุนแรงและเป็นผู้ "ได้รับเชื้อโรคอะไรสักอย่างในดวงตา"[22] กลุ่มนี้ก็มีแบร์ต มอรีโซ (Berthe Morisot) เป็นจิตรกรสตรีคนหนึ่งอยู่แล้ว ผู้ที่ต่อมามาเป็นเพื่อนและเพื่อนร่วมอาชีพของเคแซต

เคแซตชื่นชมงานเขียนของเดอกาอยู่แล้วโดยเฉพาะในการใช้พาสเตลซึ่งสร้างความประทับใจให้แก่เคแซตเป็นอันมาก และเคแซตเล่าว่าทุกครั้งเมื่อเห็นงานของเดอกาในตู้กระจกหน้าร้านของนักขายศิลปะในปี ค.ศ. 1875 ก็จะ "เอาจมูกเข้าไปจรดกระจกเพื่อจะดูดดื่มทุกสิ่งทุกอย่างจากงานศิลปะของเดอกา" เคแซตกล่าวต่อมาว่างานของเดอกาเป็นงานที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง และกล่าวว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นศิลปะอย่างที่ต้องการจะเห็น[23] ฉะนั้นเมื่อได้รับคำเชิญจากเดอกาเคแซตก็ยอมรับด้วยความยินดีและเริ่มเตรียมงานเขียนสำหรับการแสดงครั้งต่อไปในปี ค.ศ. 1878 ที่หลังจากถูกเลื่อนเพราะงานมหกรรมโลกก็เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1879 เคแซตมีความรู้สึกว่าเข้ากับกลุ่มจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์ได้ดีในทางปรัชญาและความกระตือรือร้น และมีความเห็นด้วยในการประกาศว่า: "เราจะดำเนินหน้าต่อไปในการต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดของเรา"[24] แต่เคแซตไม่สามารถพบปะกับกลุ่มศิลปินนี้ตามคาเฟได้โดยไม่ทำให้เป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน จึงจำต้องพบกับเพื่อนศิลปินเป็นการส่วนตัวหรือในการแสดงนิทรรศการ หลังจากนั้นเคแซตก็เริ่มตั้งความหวังว่าจะขายภาพเขียนให้กับชาวปารีสผู้มีรสนิยมสูงที่นิยมงานสมัยใหม่ ลักษณะงานเขียนของเคแซตในช่วงสองปีหลังก็เริ่มแสดงการตอบรับอย่างธรรมชาติ (spontaneity) มากขึ้น เดิมเคแซตเป็นศิลปินที่ทำงานในห้องเขียนภาพแต่ต่อมาก็มักเห็นจะถือสมุดร่างติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง และเริ่มวาดภาพสิ่งที่เห็นรอบตัว[25]

"เป็นแม่" ราว ค.ศ. 1890"เด็กหญิงบนเก้าอี้สีน้ำเงิน" ค.ศ. 1878

ในปี ค.ศ. 1877 พ่อแม่ของเคแซตก็มาพบกับเคแซตที่ปารีสและกลับไปกับลิเดียน้องสาว แมรีซาบซึ้งในคุณค่าของความเป็นเพื่อนของน้องสาวเพราะทั้งสองคนต่างก็เป็นโสด แมรีตัดสินใจตั้งแต่เริ่มแรกแล้วว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะกับการมีอาชีพ ลิเดียผู้ที่เคแซตใช้เป็นแบบบ่อย ๆ ป่วยกระเสาะกระแสะอยู่เสมอและในที่สุดก็เสียชีวิต การเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1882 ก็ทำให้เคแซตหมดกำลังใจที่จะการเขียนภาพอยู่ระยะหนึ่ง[26]

พ่อของเคแซตเห็นว่าเคแซตควรจะหารายได้ให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายสำหรับห้องเขียนภาพแลอุปกรณ์การเขียนด้วยตนเองซึ่งขณะนั้นยังเป็นรายได้เพียงเล็กน้อย ด้วยความกลัวที่จะต้องเขียนภาพโหลขายเพื่อจุนเจือค่าใช้จ่ายเคแซตก็เริ่มพยายามเขียนงานที่มีคุณภาพดีขึ้นสำหรับงานนิทรรศการครั้งต่อไป ภาพที่ดีที่สุดที่เขียนในปี ค.ศ. 1878 ก็ได้แก่ "ภาพเหมือนของศิลปิน" (ภาพเหมือนตนเอง), "เด็กหญิงบนเก้าอี้สีน้ำเงิน" (Little Girl in a Blue Armchair) และ "อ่านฟิกาโร" (ภาพเหมือนของแม่)

เดอกามีอิทธิพลต่อการเขียนของเคแซตเป็นอันมาก และทำให้เคแซตกลายมาเป็นผู้มีความสามารถในการใช้พาสเตล และสร้างงานที่ดีที่สุดหลายชิ้นจากการการเขียนด้วยพาสเตล นอกจากนั้นเดอกาก็ยังเป็นผู้มีฝีมือชั้นครูในวิธีพิมพ์กัดกรด (etching) ยังแนะนำการสร้างงานชนิดนี้ให้แก่เคแซตด้วย เดอกาและเคแซตทำงานเคียงข้างกันอยู่ระยะหนึ่งซึ่งเป็นผลให้งานการวาดเส้น (draftsmanship) ของเคแซตมีคุณภาพดีขึ้น เดอกาพิมพ์ภาพชุดที่มีเคแซตเป็นแบบของการเดินทางไปลูฟวร์ เคแซตมีความรู้สึกต่อเดอกาแต่ก็ทราบถึงความจุกจิกเจ้าอารมณ์ของเดอกาพอที่จะไม่หวังอะไรจากความรู้สึกมากนัก เดอกาผู้ชอบแต่งตัวดีและวางท่าหรูมักจะเป็นมาเป็นแขกในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ที่พักของเคแซต[27]

การแสดงนิทรรศการของกลุ่มจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์ในปี ค.ศ. 1879 เป็นงานที่ประสบความสำเร็จมาที่สุดสำหรับศิลปินตั้งแต่จัดตั้งมาแม้ว่าจะไม่มีงานเขียนของปีแยร์-ออกุสต์ เรอนัวร์ , อัลเฟรด ซิสลีย์, เอดวด มาเนท์ และพอล เซซานน์แสดงก็ตาม เพราะทั้งสามคนยังพยายามเข้าแสดงนิทรรศการของซาลอน จากการหนุนและการจัดการแสดงนิทรรศการโดยกุสตาฟ เคลเลโบท์ (Gustave Caillebotte) กลุ่มจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์ก็สามารถทำเงินได้กำไรจากการขายภาพเขียนแม่ว่าจะยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากนักวิจารณ์ศิลปะก็ตาม "Revue des Deux Mondes" บรรยายนิทรรศการว่า, "เดอกาและเคแซตอย่างไรก็ตามก็เป็นศิลปินเพียงสองคนที่ทำให้การแสดงค่อยน่าสนใจขึ้นบ้างและในการแสดงศิลปะของความเสแสร้งที่เป็นเพียงศิลปะหน้าร้านกับการแต้มสีเล่นอย่างทารก"[28]

เคแซตแสดงภาพเขียนสิบเอ็ดชิ้นที่รวมทั้ง "La Loge" นักวิจารณ์ติการใช้สีของเคแซตว่าจัดเกินไปและภาพเหมือนก็ตรงเกินโดยไม่ยกยอผู้เป็นแบบ แต่การวิจารณ์ที่ได้รับก็ไม่รุนแรงเท่าการวิจารณ์ของงานของโกลด มอแน เคแซตใช้กำไรที่ได้จากการขายภาพในการซื้อภาพเขียนภาพหนึ่งของเดอกาและอีกภาพหนึ่งของมอแน[29]

เคแซตยังคงแสดงภาพเขียนในนิทรรศการของกลุ่มจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์ต่อมาในปี ค.ศ. 1880 และ ปี ค.ศ. 1881 และเป็นสมาชิกผู้มีบทบาทในวงจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์มาจนถึงปี ค.ศ. 1886 ในปี ค.ศ. 1886 เคแซตส่งภาพเขียนสองภาพไปแสดงในนิทรรศการภาพเขียนจิตรกรอิมเพรสชันนิสม์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาที่จัดโดยตัวแทนซื้อขายศิลปะปอล ดูว์ร็อง-รุแอล (Paul Durand-Ruel) ต่อมาเมื่อเพื่อนของเคแซตลุยซีน เอลเดอร์ (Louisine Elder) สมรสกับเอช. โอ. เฮฟไมเยอร์ (H.O. Havemeyer) ในปี ค.ศ. 1883 เคแซตก็แนะนำให้ทั้งคู่สะสมศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ ซึ่งทั้งสองก็เริ่มสะสมงาน อิมเพรสชันนิสม์อย่างเป็นจริงเป็นจัง งานสะสมเหล่านี้ส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตันในนครนิวยอร์ก[30]

ในช่วงนี้เคแซตเขียนภาพเหมือนของบุคคลในครอบครัวหลายภาพที่รวมทั้ง "ภาพเหมือนของอเล็กซานเดอร์ เคแซต และโรเบิร์ต เคลโซ ลูกชาย" (ค.ศ. 1885) ที่เป็นภาพที่ถือว่าเป็นภาพที่ดีที่สุด ลักษณะการเขียนของเคแซตก็วิวัฒนาการต่อไป และเริ่มแยกจากการเขียนแบบอิมเพรสชันนิสม์ไปเป็นการเขียนที่ง่ายขึ้นและตรงขึ้น และขณะเดียวกันก็เริ่มออกแสดงงานเขียนของตนเองในห้องแสดงภาพในนิวยอร์กด้วย หลังจากปี ค.ศ. 1886 เคแซตก็แยกตัวจากขบวนการศิลปะอิมเพรสชันนิสม์มาเป็นการทดลองวิธีเขียนต่าง ๆ